ในยุคที่คำว่า “AI” ถูกพูดถึงแทบทุกวัน หลายคนอาจนึกถึงเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การช่วยเขียนข้อความ หาคำตอบ หรือแม้กระทั่งแปลภาษา แต่ความจริงแล้ว AI ทำได้มากกว่านั้น มันไม่ใช่แค่ “ช่วยคิด” แต่ยังสามารถ “ลงมือทำ” แทนเราได้ด้วย
ลองจินตนาการถึงวันที่ AI ไม่ได้แค่ตอบคำถามหรือสร้างข้อความให้เรา แต่สามารถวิเคราะห์ปัญหา ตัดสินใจ และดำเนินการแก้ไขได้เองแบบอัตโนมัติ นั่นแหละคือความแตกต่างระหว่าง Agentic AI และ Generative AI
วันนี้ เราจะพาคุณมาทำความรู้จักความสามารถของ AI ทั้งสองประเภทนี้ และเข้าใจว่าแต่ละแบบเหมาะกับงานแบบไหน เพราะในยุคนี้ AI ไม่ได้มาแค่เป็นผู้ช่วย แต่กำลังจะเป็น “เพื่อนร่วมทีม” ที่สำคัญของคุณ!
ChatGPT และ Generative AI: เพื่อนคู่คิดที่สร้างสรรค์สิ่งใหม่
ลองนึกถึงเวลาคุณต้องเขียนโพสต์ขายของ หรือเขียนคำอธิบายสินค้าที่น่าสนใจ แต่สมองกลับโล่งเหมือนกระดาษเปล่า นั่นแหละ… Generative AI อย่าง ChatGPT คือเครื่องมือที่มาช่วยให้ชีวิตง่ายขึ้น
Generative AI เน้นไปที่ การสร้าง เนื้อหาใหม่ เช่น:
- เขียนข้อความโฆษณา
- ตอบคำถามลูกค้า
- สร้างบทความหรือคอนเทนต์สำหรับเว็บไซต์
ข้อดีของ ChatGPT คือความ สร้างสรรค์และยืดหยุ่น เพราะมันช่วยให้เราประหยัดเวลาในการคิดและเขียน แต่ข้อจำกัดของมันคือ มันไม่สามารถ “ลงมือทำ” หรือ “ตัดสินใจ” ได้เอง มันแค่รอให้เราสั่ง และทำตามคำสั่งนั้น
Agentic AI: ผู้ช่วยที่ลงมือทำได้จริง
ลองจินตนาการว่าคุณมีผู้ช่วยที่ไม่เพียงแค่เขียนคำโฆษณาให้คุณ แต่ยัง ปรับงบโฆษณา ดูแลแคมเปญ และแก้ปัญหาแบบเรียลไทม์ได้ด้วยตัวเอง นี่แหละคือ Agentic AI
Agentic AI คือ AI ที่ไม่เพียงแค่ตอบสนองต่อคำสั่ง แต่สามารถ:
- คิดวิเคราะห์: มันจะดูข้อมูลจากแคมเปญของคุณ เช่น โฆษณาชิ้นไหนไม่ดี และวิเคราะห์สาเหตุ
- ตัดสินใจ: ถ้าโฆษณาตัวไหนไม่ทำงาน AI จะหยุดการแสดงผล และปรับกลยุทธ์ใหม่
- ลงมือทำ: ดำเนินการทุกอย่างโดยไม่ต้องรอให้คุณเข้ามาดูแล
ตัวอย่าง:
- คุณลงโฆษณาบน Facebook แต่ ROI ต่ำกว่าที่คาดไว้ Agentic AI จะปรับข้อความและกลุ่มเป้าหมายให้ใหม่ทันทีโดยอัตโนมัติ
- คุณขายของใน Shopee หรือ TikTok Shop Agentic AI สามารถช่วยวิเคราะห์สินค้าขายดี และจัดการโปรโมชั่นโดยไม่ต้องรอคุณสั่ง