คุณว่าไหม? เดี๋ยวนี้ไปที่ไหนก็
เจอแต่คนพูดเรื่อง AI เอะอะก็ ChatGPT เอะอะก็ Gemini แล้วไม่ทันไรก็มี AI Automation เพิ่มมาอีก… เหมือนจะหมดแล้วใช่ไหม แต่ยั๊งง ยังมี AI Agent มาอีกจ้า (ตามไม่ทันแล้วพี่ 😂)
เชื่อว่าตอนนี้หลายคนรู้จัก AI อย่าง ChatGPT หรือ Gemini กันอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ที่ยังไม่ค่อยคุ้นคือ AI Automation กับ AI Agent ต่างหาก มันคืออะไร? แตกต่างกันยังไง? เดี๋ยวเราจะมาบอกและยกตัวอย่างให้เห็นภาพในบทความนี้กัน
สองผู้ช่วยที่คล้ายกันเหมือนแฝดคนละฝา จริงๆ แล้วมีความแตกต่างกันอยู่ เพราะฉะนั้นก่อนจะเลือกใครเป็นตัวจริง มารู้จักสองผู้เล่นนี้ก่อน
นึกภาพตามง่ายๆ คุณลองนึกถึงทีมฟุตบอลสักทีมหนึ่ง ที่มีทั้งนักเตะที่ทำตามแบบแผนได้เป๊ะ กับโค้ชที่อ่านเกมและปรับกลยุทธ์ได้ตลอดเวลา ทั้งคู่มีบทบาทสำคัญในการพาทีมไปสู่ประตูชัย แต่ช่วยเหลือทีมคนละบทบาทกัน 🏃🏻♂️➡️⚽️
AI Automation และ AI Agent ก็เหมือนกัน
- AI Automation เหมือน นักเตะ ที่ ส่งบอลเท้าสู่เท้า ไปสู่ประตูชัย อย่างไม่พลาดจังหวะ งานซ้ำๆ ที่มีสูตรตายตัว เขาทำได้เร็วและแม่นยำ
- เช่น ระบบทำงานอัตโนมัติเมื่อได้รับอีเมล > ส่งต่อให้ AI ประมวลผลคำตอบ > ตอบกลับอีเมลอัตโนมัติ
- เช่น ระบบทำงานอัตโนมัติเมื่อได้รับอีเมล > ส่งต่อให้ AI ประมวลผลคำตอบ > ตอบกลับอีเมลอัตโนมัติ
- AI Agent เหมือน โค้ช ที่ วิเคราะห์เกม ก่อนไปสู่ประตูชัย มีการคิด วิเคราะห์ และปรับเกมตามสถานการณ์
- เช่น ได้โจทย์ให้ “จองตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุด” > AI Agent จะรู้ว่าต้องค้นตั๋วเครื่องบินจากหลายเว็บไซต์ > เปรียบเทียบราคา > สรุปเป็นตาราง Excel ให้เลือก พร้อมคำแนะนำว่าอันไหนถูกสุด แถมยังถามว่าให้จองให้ไหม?
- เช่น ได้โจทย์ให้ “จองตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุด” > AI Agent จะรู้ว่าต้องค้นตั๋วเครื่องบินจากหลายเว็บไซต์ > เปรียบเทียบราคา > สรุปเป็นตาราง Excel ให้เลือก พร้อมคำแนะนำว่าอันไหนถูกสุด แถมยังถามว่าให้จองให้ไหม?
เพราะทั้งคู่มีบทบาทนำไปสู่ประตูชัยต่างกัน 🏆 ดังนั้น! คำถามไม่ใช่ใครดีกว่า แต่คำถามคือ… งานแบบนี้ใช้ใครดี?
ผู้ช่วยทั้งสองมีส่วนช่วยในการไปสู่ประตูชัย “ลดภาระงานคน” เหมือนกัน ดังนั้นเราต้องเลือกใช้ทั้งสองผู้ช่วยให้ถูกที่ถูกเวลา เหมือนทีมฟุตบอลที่ใช้ทั้งโค้ชและนักเตะ
- AI Automation = ใช้ในงานที่มีขั้นตอนชัดเจน ทำบ่อยๆ ซ้ำๆ
- จุดแข็ง คือแม่นยำถ้าเป็นงานที่มีโครงสร้างชัดเจน ทำซ้ำได้บ่อยๆ เพราะทำเร็ว
- จุดอ่อน ไม่เหมาะกับงานซับซ้อนที่ต้องเปลี่ยนตามสถานการณ์ เพราะไม่มีโครงชัดเจนและอาจผิดพลาดได้
- AI Agent = ใช้ในงานที่ต้องตีความโจทย์และหาทางออกเองตามสถานการณ์
- จุดแข็ง คือเหมาะกับงานซับซ้อนที่ต้องใช้การคิดหาทางออกเอง
- จุดอ่อน คือไม่เหมาะกับงานซ้ำๆ ที่ต้องทำบ่อยๆ หรือมีโครงชัดเจน (อันนี้ไปให้ AI Automation ทำดีกว่า) เพราะถึงแม้จะตั้งให้ทำงานเองได้ แต่ Agent ค่อนข้างใช้เวลาในการทำงานนาน
ตัวอย่างงาน |
AI Automation |
AI Agent |
กรอกข้อมูลลูกค้าจากอีเมลลง Excel ทุกวัน |
✔️ |
– |
ส่งอีเมลยืนยันการสั่งซื้อ เมื่อได้รับสลิปธนาคาร |
✔️ |
– |
สร้างรายงานตัวเลขจากข้อมูล Excel ทุกเดือน |
✔️ |
– |
วิเคราะห์ข้อมูลงบการเงินจากเว็บ |
– |
✔️ |
หาข้อมูลการทำแกงเขียวหวานและสั่งวัตถุดิบให้ |
– |
✔️ |
หาราคาตั๋วเครื่องบินที่ถูกที่สุดจากทุกสายการบิน |
– |
✔️ |
สรุป : องค์กรไม่จำเป็นต้องเลือกแค่ AI Automation หรือ AI Agent อย่างเดียว แต่ควรผสมผสานให้เหมาะกับงานนั้นๆ
ทุกองค์กรมีงานที่หลากหลาย บางอย่างต้องการความแม่นยำและทำซ้ำได้โดยไม่ผิดพลาด ซึ่งเหมาะกับ AI Automation แต่บางอย่างต้องการการคิด วิเคราะห์ และตัดสินใจ ซึ่งเหมาะกับ AI Agent
จุดแข็งของ AI Automation คือความเร็ว ความสม่ำเสมอ และทำงานตามโครงชัดเจนได้ดี (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง AI Automation) ส่วน AI Agent โดดเด่นตรงที่สามารถรับโจทย์ซับซ้อนได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาทำงานมากกว่า (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง AI Agent)
และถ้าคุณอยากเรียนรู้วิธีนำทั้ง AI Automation และ AI Agent มาใช้กับองค์กรจริง ลองดูคอร์สสัมนาสด Real AI Leader เราสอนทั้งเรื่องของ AI Automation และ AI Agent ซึ่งคุณจะได้เห็น Use Case จริงจากทั้งสองผู้ช่วย เข้าใจความแตกต่าง และวิธีผสมผสานการใช้งาน จนสามารถนำไปปรับใช้กับทีมของคุณได้ทันที
ลงทะเบียนเรียน Real AI Leader : คลิกที่นี่