
Google AI Studio คืออะไร (และทำไมผู้ประกอบการควรรู้จัก)
มันคือพื้นที่บนเว็บของกูเกิลที่ให้คุณทดลองและสร้างงานด้วย Generative AI ของ Gemini โดยหนึ่งในความสามารถที่เด่นมากตอนนี้คือ Generate native speech with Gemini หรือก็คือ (Text-to-Speech) ง่ายๆคือ มันจะแปลงข้อความเป็นเสียงที่ฟังเป็นธรรมชาติโดยที่เราสามารถเลือกเสียงคนพูด คุมโทน คุมความเร็ว คุมสไตล์การพูดได้ด้วยคำสั่งภาษาไทย และ ภาษาอังกฤษ
แล้วจะเริ่มต้นใช้งานยังไง?
ลองเริ่มที่สคริปต์สั้น ๆ ก่อน สมมติคุณเขียนบทเปิดรายการยาวหนึ่งย่อหน้าเหมือนที่เคยเขียนให้ผู้บรรยายอ่าน จากนั้นเปิด Google AI Studio ขึ้นมา เลือกโหมดสร้างเสียง แล้ววางสคริปต์ของคุณลงไป เลือกเสียงที่ชอบ—จะเอาโทนนุ่ม อบอุ่น หรือกระชับจริงจังก็พิมพ์บอกสไตล์ไปได้เลย พร้อมบอกความเร็วที่ต้องการเล็กน้อย เช่น “พูดช้าและชัดขึ้นเล็กน้อย” แล้วกดให้ระบบสร้างเสียง และหนึ่งคลิกต่อมา คุณจะได้ไฟล์เสียงที่ฟังเหมือนมีนักบรรยายมืออาชีพอ่านให้ พร้อมกับปุ่มดาวน์โหลดเก็บไว้ใช้งานได้เลย
ถัดมา ถ้าอยากให้รายการมี “คนคุยกันสองคน” ก็ทำได้ไม่ยาก ให้นึกแบบกำกับเวทีเล็ก ๆ ในสคริปต์ของคุณ เช่น ใส่ชื่อ พิธีกร A: และ พิธีกร B: ไว้หน้าบทพูดแต่ละช่วง แล้วสั่งเพิ่มสไตล์ให้แต่ละคนต่างบุคลิกกันเล็กน้อย เช่น A เป็นโทนกระฉับกระเฉง B เป็นโทนสุขุม
เมื่อกดสร้าง ระบบจะผูกเสียงสองสไตล์ให้สลับกันพูดตามบทอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะกับรายการเล่าเรื่องสั้น ๆ ข่าวแบบโต้ตอบ หรือแม้แต่ประกาศภายในองค์กรที่อยากให้ฟังเป็นกันเองขึ้นอีกหน่อย จุดเด่นคือคุณสามารถ “ใส่ Style Instruction (คำสั่งให้สปีคเกอร์)” แบบกึ่งทางการได้ด้วย เช่น
“พิธีกร A เปิดด้วยท่าทีเป็นมิตร ยิ้มในน้ำเสียง และเน้นคำว่า ‘อัปเดตสำคัญ’
ส่วน พิธีกร B ช่วยสรุปเป็นข้อ ๆ ด้วยจังหวะช้าลง”
ด้วยฟีเจอร์ของการให้คนสองคนมาคุยกัน และการควบคุมสไตล์ด้วย Prompt แบบนี้ จะทำให้ Podcast ของคุณออกมาดูมีชีวิตชีวาเหมือนกับคนมาภาคเสียงจริงๆ
เคล็ดลับเล็ก ๆ ระหว่างทำ: เขียนสคริปต์ให้ “มีจังหวะหายใจ” เช่น เว้นวรรคสั้น ๆ ใส่วงเล็บกำกับอารมณ์ (“ยิ้มบาง ๆ”, “หยุดหนึ่งจังหวะ”) แล้วบอกต่อใน prompt เพื่อให้เสียงที่ได้ “มีชีวิต” มากขึ้น — ใกล้เคียงงานพากย์จริง
แล้วองค์กรของคุณจะใช้ AI เพื่อสร้างเสียงไปทำไม?
ให้ผมเล่าภาพสั้น ๆ สามฉากนะครับ จะได้เห็นว่าเสียงจาก AI ไม่ได้มีไว้แค่ทำรายการส่วนตัว
ฉากที่หนึ่ง: การตลาด/คอนเทนต์
ทีมแบรนด์อยากทำ “พอดแคสต์สั้น” ความยาว 60–90 วินาที สรุปอินไซต์ตลาดรายสัปดาห์สำหรับลูกค้าเดิม เดิมทีต้องรอคิวอัดเสียงทุกครั้ง ตอนนี้แค่ให้คอนเทนต์ไกด์เขียนสคริปต์ เลือกโทนเสียงให้ตรงกับบุคลิกแบรนด์ แล้วสร้างไฟล์เสียง อัปโหลดขึ้นเว็บไซต์/โซเชียล พร้อมใส่ Subtitle ประกอบที่ดูทันสมัย ใช้เวลาจากชั่วโมงเหลือหลักนาที แต่คุณภาพยังสม่ำเสมอเพราะใช้เสียงมาตรฐานเดียวกันทุกตอน
ฉากที่สอง: การสื่อสารภายในองค์กร
HR ต้องประกาศนโยบายใหม่และมี FAQ ยาวเป็นหน้า PDF ทุกทีพนักงานเปิดอ่านไม่จบ คราวนี้เปลี่ยนเป็นเสียงสั้น ๆ 3 ตอน ตอนละไม่เกิน 2 นาที ทำเป็นบทสนทนาพิธีกรสองคนสลับถาม-ตอบ พนักงานกดฟังระหว่างเดินทางหรือก่อนเข้าประชุมได้หมด ผลคืออัตราการเข้าถึงสูงขึ้น โดยทีมสื่อสารไม่ต้องเสียเวลานัดอัด แค่ปรับสคริปต์กับโทนเสียงให้ฟังง่าย
ฉากที่สาม: Training/Knowledge Sharing
ฝ่ายปฏิบัติการมีคู่มือความปลอดภัยหลายบท ต้องอบรมพนักงานใหม่ทุกเดือน เดิมอ่านสไลด์ยาว ๆ แล้วหลุดโฟกัสกันง่าย ลองสรุปแต่ละบทเป็น “บทเล่าเสียง” 3–5 นาที ใส่ตัวอย่างสถานการณ์จริง และกำกับให้สปีคเกอร์ “เน้นคำเตือน” แบบชัด ๆ ผลคือได้สื่อการสอนที่เปิดฟังซ้ำได้ทุกที่ ลดภาระวิทยากร และเก็บมาตรฐานเดียวกันทั้งองค์กร
ทั้งหมดนี้จุดร่วมคือ ลดเวลา-คงคุณภาพ-สเกลได้ โดยไม่ต้องสร้างสตูดิโอจริงครับ
สรุป
สุดท้ายนี้ครับ… ในยุคของ AI Transformation ไม่ใช่ยุคที่ทำให้คนเกิดความกลัวต่อการเปลี่ยนแปลง แต่เป็นยุคที่ทำให้สิ่งที่คุณเคยคิดว่า “เป็นไปไม่ได้” กลับ “เป็นไปได้” และ “ทำได้เร็ว” กว่าเดิม เดิมทีการสร้าง Podcast คือโปรเจกต์ใหญ่ ทั้งอุปกรณ์ เวลา และทีมงาน วันนี้เหลือแค่สคริปต์ไม่กี่ย่อหน้า กับเครื่องมือที่แปลงข้อความให้เป็นเสียงคุณภาพสูงภายในไม่กี่นาที—แล้วไอเดียของคุณก็มี “เสียง” ไปถึงผู้ฟังได้ทันที
ลองเริ่มง่าย ๆ จากย่อหน้าแรกของคุณ แล้วให้ AI ช่วยเล่า…ที่เหลือ คุณจะประหลาดใจว่ามันไหลลื่นแค่ไหน